วันอังคารที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2562

ประวัติดนตรีตะวันตก


ยุคสมัยของดนตรีตะวันตก

      เนื่องจากโครงสร้างของดนตรีตะวันตกมีการพัฒนาเปลี่ยนไปเสมอตามแนวความคิดของผู้ประพันธ์เพลงจึงทำให้เกิดเป็นลักษณะของดนตรีในแต่ละยุคขึ้นมาการศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับลักษณะของบทเพลงในแต่ละยุค จะช่วยให้ทีความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้างของดนตรีในแต่ละยุค ดังนี้
1. ยุคกลาง (Middle Ages)
        ยุคนี้คือ ช่วงเวลาระหว่างศตวรรษที่ 5-15 (ราว ค.. 450-1400) อาจเรียกว่า ยุคเมดิอีวัล  (Medieval Period) ดนตรีในยุคนี้เป็น vocal polyphony คือ เป็นเพลงร้องโดยมีแนวทำนองหลายแนวสอดประสานกันซึ่งพัฒนามาจากเพลงสวด (Chant) และเป็นเพลงแบบมีทำนองเดียว  (Monophony) ในระยะแรกเป็นดนตรีที่ไม่มีอัตราจังหวะ (Non-metrical)ในระยะต่อมาใช้อัตราจังหวะ ¾ ต่อมาในศตวรรษที่ 14 มักใช้อัตราจังหวะ 2/4 เพลงร้องพบได้ทั่วไปและเป็นที่นิยมมากกว่าเพลงที่บรรเลงด้วยเครื่องดนตรี รูปแบบของเพลงเป็นแบบล้อทำนอง (Canon) นักดนตรีที่ควรรู้จักคือ มาโซท์และแลนดินี
2. ยุครีเนซองค์ (Renaissance Period)
        เป็นดนตรีในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 15-16 (ราว ค.. 1450-1600) การสอดประสาน(Polyphony) ยังเป็นลักษณะของเพลงในยุคนี้โดยมีการล้อกันของแนวทำนองเดียวกัน (Imitative style)ลักษณะบันไดเสียงเป็นแบบโหมด(Modes)ยังไม่นิยมแบบบันไดเสียง(Scales)การประสานเสียงเกิดจากแนวทำนองแต่ละแนวสอดประสานกันมิได้เกิดจากการใช้คุณสมบัติของคอร์ดลักษณะของจังหวะมีทั้งเพลงแบบมีอัตราจังหวะและไม่มีอัตราจังหวะลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อยยังมีน้อยไม่ค่อยพบลักษณะของเพลงมีความนิยมพอๆกันระหว่างเพลงร้องและบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีเริ่มมีการผสมวงเล็กๆเกิดขึ้นนักดนตรีที่ควรรู้จักคือ จอสกิน-เดอส์  เพรซ์  ปาเลสตรินา  และเบิร์ด
3. ยุคบาโรค (Baroque Period) 
        เป็นยุคของดนตรีในระหว่างศตวรรษที่17-18 (ราว ค.. 1600-1750) การสอดประสาน   เป็นลักษณะที่พบได้เสมอในปลายยุคช่วงต้นยุคมีการใช้ลักษณะการใส่เสียงประสาน(Homophony) เริ่มนิยมการใช้เสียงเมเจอร์และไมเนอร์แทนการใช้โหมดต่างๆการประสานเสียงมีหลักเกณฑ์เป็นระบบมีการใช้เสียงหลัก (Tonal canter) อัตราจังหวะเป็นสิ่งสำคัญของบทเพลงการใช้ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อยเป็นลักษณะของความดัง-ค่อยมากกว่าจะใช้ลักษณะค่อยๆดังขึ้นหรือค่อยๆลง  (Crescendo, diminuendo)ไม่มีลักษณะของความดังค่อยอย่างมาก (Fortissimo, pianisso)  บทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีเป็นที่นิยมมากขึ้น บทเพลงร้องยังคงมีอยู่และเป็นทีนิยมเช่นกันนิยมการนำวงดนตรีเล่นผสมกับการเล่นเดี่ยวของกลุ่ม  ครื่องดนตรี 2-3 ชิ้น(Concerto grosso) นักดนตรีที่ควรรู้จัก คือ มอนเมแวร์ดี  คอเรลลี วิวัลดี  บาค ฮันเดล
4. ยุคคลาสสิค (Classical period)
        เป็นยุคที่ดนตรีมีกฎเกณฑ์แบบแผนอย่างมากอยู่ในระหว่างศตวรรษที่ 18 และช่วงต้นศตวรรษที่ 19 (.. 1750-1825) การใส่เสียงประสานเป็นลักษณะเด่นของยุคนี้การสอดประสานพบได้บ้างแต่ไม่เด่นเท่าการใส่เสียงประสานการใช้บันไดเสียงเมเจอร์และไมเนอร์เป็นหลักในการประพันธ์เพลงลักษณะของบทเพลงมีความสวยงามมีแบบแผนบริสุทธิ์มีการใช้ลักษณะของเสียงเกี่ยวกับความดังค่อยเป็นสำคัญ    ลีลาของเพลงอยู่ในขอบเขตที่นักประพันธ์ในยุคนี้ยอมรับกันไม่มีการแสดงอารมณ์หรือความรู้สึกของผู้ประพันธ์ไว้ในบทเพลงอย่างเด่นชัดการผสมวงดนตรีพัฒนามากขึ้นการบรรเลงโดยใช้วงและการเดี่ยวดนตรีของผู้เล่นเพียงคนเดียว( Concerto)เป็นลักษณะที่นิยมในยุคนี้บทเพลลงประเภทซิมโฟนีมีแบบแผนที่นิยมกันในยุคนี้เช่นเดียวกับเพลงเดี่ยว(Sonata) ด้วยเครื่องดนตรีชนิดต่างๆบทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีที่นิยมเป็นอย่างมากบทเพลงร้องมีลักษณะซับซ้อนกันมากขึ้นเช่นเดียวกับบทเพลงบรรเลงด้วยเครื่องดนตรีนักดนตรีที่ควรรู้จักในยุคนี้ คือ กลุค  ไฮเดิน  โมทซาร์ท  และเบโธเฟน
5. ยุคโรแมนติด(Romantic period)
        เป็นยุคของดนตรีระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 19 (ราว ค.. 1825-1900) ลักษณะเด่นของดนตรีในยุคนี้ คือ เป็นดนตรีที่แสดงความรู้สึกของนักประพันธ์เพลงเป็นอย่างมากฉะนั้นโครงสร้างของดนตรีจึงมีหลากหลายแตกต่างกันไปในรายละเอียดโดยการพัฒนาหลักการต่างๆต่อจากยุคคลาสสิกหลักการใช้บันไดเสียงไมเนอร์และเมเจอร์ยังเป็นสิ่งสำคัญแต่ลักษณะการประสานเสียงมีการพัฒนาและคิดค้นหลักใหม่ๆ ขึ้นอย่างมากเพื่อเป็นการสื่อสารแสดงออกทางอารมณ์และความรู้สึกของผู้ประพันธ์เพลงการใส่เสียงประสานจึงเป็นลักษณะเด่นของเพลงในยุคนี้บทเพลงมักจะมีความยาวมากขึ้นเนื่องจากมีการขยายรูปแบบของโครงสร้างดนตรีมีการใส่สีสันของเสียงจากเครื่องดนตรีเป็นสื่อในการแสดงออกทางอารมณ์   ลักษณะการผสมวงพัฒนาไปมากวงออร์เคสตร้ามีขนาดใหญ่มากขึ้นกว่าในยุคคลาสสิคบทเพลงมีลักษณะต่างๆกันออกไปเพลงซศิมโฟนี โซนาตา และเซมเบอร์มิวสิก ยังคงเป็นรูปแบบที่นิยมนอกเหนือไปจากเพลงลักษณะอื่นๆ เช่น Prelude, Etude,Fantasia เป็นต้น นักดนตรีที่ควรรู้จักในยุคนี้มีเป็นจำนวนมาก  เช่น  เบโธเฟน  ชูเบิร์ต  โชแปง  ลิสซท์  เมนเดลซอน  เบร์ลิโอส  ชูมานน์  แวร์ดี   บราหมส์   ไชคอฟสี  ริมสกี-คอร์สคอฟ  รัคมานินอฟ  ปุกซินี  วากเนอร์  กรีก   ริชาร์ด  สเตราห์   มาห์เลอร์  และซิเบลุส  เป็นต้น
6. ยุคอิมเพรสชั่นนิสติค  (Impressionistic Period หรือ Impressionism)
        เป็นดนตรีอยู่ในช่วงระหว่าง ค.. 1890 – 1910 ลักษณะสำคัญของเพลงยุคนี้คือใช้บันไดเสียงแบบเสียงเต็ม  ซึ่งทำให้บทเพลงมีลักษณะลึกลับคลุมเครือไม่กระจ่างชัดเนื่องมาจากการประสานเสียงโดยใช้ในบันไดเสียงแบบเสียงเต็ม บางครั้งจะมีความรู้สึกโล่งๆว่างๆ  เสียงไม่หนักแน่น  ดังเช่น เพลงในยุคโรแมนติก การประสานเสียงไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์  ในยุคก่อนๆ สามารถพบการประสานเสียงแปลก ๆ ไม่คาดคิดได้ในบทเพลงประเภทอิมเพรสชั่นนิซึม รูปแบบของเลงเป็นรูปแบบง่าย มักเป็นบทเพลงสั้นๆ รวมเป็นชุด นักดนตรีที่ควรรู้จัก คือ  เดอบูสซี   ราเวล  และเดลิอุส
7. ยุคศตวรรษที่ 20(Contemporary Period)
        ดนตรีในยุคศตวรรษที่ 20 เป็นยุคของการทดลองสิ่งแปลกๆ ใหม่ๆ  และนำเอาหลักการเก่าๆ มากพัฒนาเปลี่ยนแปลงปรับปรุงให้เข้ากับแนวความคิดในยุคปัจจุบัน   เช่น  หลักการเคาเตอร์พอยต์   (Counterpoint) ของโครงสร้างดนตรีแบบการสอดประสาน มีการใช้ประสานเสียงโดยการใช้บันไดเสียงต่างๆ รวมกัน (Polytonatity) และการไม่ใช่เสียงหลักในการแต่งทำนองหรือประสานเสียงจึงเป็นเพลงแบบใช้บันไดเสียง 12 เสียง(Twelve-tone scale)ซึ่งเรียกว่า Atonality อัตราจังหวะที่ใช้ทีการกลับไปกลับมา ลักษณะสำคัญอีกประการหนึ่งคือ การใช้การประสานเสียงที่ฟังระคายหูเป็นพื้น (Dissonance)  วงดนตรีกลับมาเป็นวงเล็กแบบเชมเบอร์มิวสิก ไม่นิยมวงออร์เคสตรา มักมีการใช้อิเลกโทรนิกส์ ทำให้เกิดเสียงดนตรีซึ่งมีสีสันที่แปลกออกไป เน้นการใช้จังหวะรูปแบบต่างๆ บางครั้งไม่มีทำนองที่โดดเด่น ในขณะที่แนวคิดแบบโรแมนติกมีการพัฒนาควบคู่ไปเช่นกัน   เรียกว่า  นีโอโรแมนติก (Neo-Romantic) กล่าวโดยสรุปคือ โครงสร้างของเพลงในศตวรรษที่ 20  นี้มีหลากหลายมาก    สามารถพบสิ่งต่างๆตั้งแต่ยุค ต่างๆมาที่ผ่านมา แต่มีแนวคิดใหม่ที่เพิ่มเข้าไป นักดนตรีที่ควรรู้จักในยุคนี้ คือ สตราวินสกี   โชนเบิร์ก   บาร์ตอก   เบอร์ก   ไอฟส์   คอปแลนด์  ชอสตาโกวิช   โปโกเฟียฟ  ฮินเดมิธ  เคจ  เป็นต้น









อ้างอิง 

อ้างอิง 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

กุญแจประจำหลัก

ประเภทของกุญแจประจำหลัก กุญแจประจำหลักในการบันทึกดนตรีสมัยใหม่มีใช้อยู่เพียง 3 ชนิดคือ กุญแจซอล กุญแจโด และกุญแจฟา ซึ่งกุญแจแต่ละชนิ...